นายพจน์กวิน กองนอก 52010125030 ระบบพิเศษ สาขาการพัฒนาชุมชน G13
บุหรี่
ประวัติความเป็นมาของบุหรี่
ชาวอินเดียนแดงซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ได้เริ่มต้นใช้ยาสูบเป็นพวกแรก โดยปลูกยาสูบเพื่อใช้เป็นยาและนำมาสูบในพิธีกรรมต่างๆ ใน พ.ศ. ๒๐๓๕ เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) เดินเรือไปขึ้นฝั่งที่ซันซัลวาดอร์ ในหมู่เกาะเวสต์อินดีส์นั้น ได้เห็นชาวพื้นเมืองนำเอาใบไม้ชนิดหนึ่งมามวนและจุดไฟตอนปลายแล้วดูดควัน ต่อมา พ.ศ. ๒๐๙๑ มีการปลูกยาสูบในบราซิลซึ่งเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปอเมริกาใต้ เพื่อเป็นสินค้าส่งออก เป็นผลให้ยาสูบแพร่หลายเข้าไปในประเทศโปรตุเกสและสเปนตามลำดับ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๐๓ นายฌอง นิโกต์ (Jean Nicot) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศโปรตุเกส ได้ส่งเมล็ดยาสูบมายังราชสำนักฝรั่งเศส ชื่อของนายนิโกต์จึงเป็นที่มาของชื่อสารนิโคติน (Nicotin) ที่รู้จักกันในปัจจุบัน ใน พ.ศ. ๒๑๐๗ เซอร์จอห์น ฮอคกินส์ (Sir John Hawkins) ได้นำยาสูบเข้าไปในประเทศอังกฤษ และใน พ.ศ. ๒๑๕๕ นายจอห์น รอลฟ์ (John Rolfe) ชาวอังกฤษ ประสบผลสำเร็จในการปลูกยาสูบเชิงพาณิชย์ เป็นครั้งแรก และ ๗ ปีต่อมา ก็ได้ส่งออกผลผลิตไปยังประเทศอาณานิคมเป็นจำนวนมหาศาล อีก ๒๐๐ ปีต่อมา การทำไร่ยาสูบเชิงพาณิชย์จึงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ชาวอินเดียนแดงซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ได้เริ่มต้นใช้ยาสูบเป็นพวกแรก โดยปลูกยาสูบเพื่อใช้เป็นยาและนำมาสูบในพิธีกรรมต่างๆ ใน พ.ศ. ๒๐๓๕ เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) เดินเรือไปขึ้นฝั่งที่ซันซัลวาดอร์ ในหมู่เกาะเวสต์อินดีส์นั้น ได้เห็นชาวพื้นเมืองนำเอาใบไม้ชนิดหนึ่งมามวนและจุดไฟตอนปลายแล้วดูดควัน ต่อมา พ.ศ. ๒๐๙๑ มีการปลูกยาสูบในบราซิลซึ่งเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปอเมริกาใต้ เพื่อเป็นสินค้าส่งออก เป็นผลให้ยาสูบแพร่หลายเข้าไปในประเทศโปรตุเกสและสเปนตามลำดับ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๐๓ นายฌอง นิโกต์ (Jean Nicot) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศโปรตุเกส ได้ส่งเมล็ดยาสูบมายังราชสำนักฝรั่งเศส ชื่อของนายนิโกต์จึงเป็นที่มาของชื่อสารนิโคติน (Nicotin) ที่รู้จักกันในปัจจุบัน ใน พ.ศ. ๒๑๐๗ เซอร์จอห์น ฮอคกินส์ (Sir John Hawkins) ได้นำยาสูบเข้าไปในประเทศอังกฤษ และใน พ.ศ. ๒๑๕๕ นายจอห์น รอลฟ์ (John Rolfe) ชาวอังกฤษ ประสบผลสำเร็จในการปลูกยาสูบเชิงพาณิชย์ เป็นครั้งแรก และ ๗ ปีต่อมา ก็ได้ส่งออกผลผลิตไปยังประเทศอาณานิคมเป็นจำนวนมหาศาล อีก ๒๐๐ ปีต่อมา การทำไร่ยาสูบเชิงพาณิชย์จึงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทั่วโลก
บุหรี่ คือ
บุหรี่ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกม้วนห่อด้วยกระดาษ (ขนาดปกติจะมีความยาวสั้นกว่า 120มิลลิเมตร และ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 มิลลิเมตร) มีใบยาสูบบดหรือซอยบรรจุภายในห่อกระดาษ ปลายด้านหนึ่งเป็นปลายเปิดสำหรับจุดไฟ และอีกด้านหนึ่งจะมีตัวกรอง ไว้สำหรับใช้ปากสูดควัน คำนี้ปกติจะใช้หมายถึงเฉพาะที่บรรจุใบยาสูบภายใน แต่ในบางครั้งก็อาจใช้หมายถึงมวนกระดาษที่บรรจุสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กัญชา (en:marijuana)บุหรี่ ต่างจาก ซิการ์ (en:cigar) ตรงที่บุหรี่นั้นมีขนาดเล็กว่า และใบยาสูบนั้นจะมีการบดหรือซอย รวมทั้งกระดาษที่ห่อ ซิการ์โดยปกติจะใช้ใบยาสูบทั้งใบ ซิการ์ชนิดที่มีขนาดเล็กพิเศษเท่าบุหรี่ เรียกว่า ซิการ์ริลโล (en:cigarillo) บุหรี่เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่ก่อนสงครามแห่งครายเมีย เมื่อทหารแห่งจักรวรรดิอังกฤษ เริ่มเลียนแบบการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อใบยาสูบ จากทหารตุรกีแห่งอาณาจักรออตโตมัน
การสูบบุหรี่ในประเทศไทย
ในประเทศไทยมีการใช้ยาสูบตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยมีหลักฐานจากจดหมายเหตุของ เมอร์ซิเออร์ เดอลาลูแบร์ (Monsieur De La Loub�re) อัครราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางมาเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนเล่าเรื่องประเทศสยามว่า คนไทยชอบใช้ยาสูบอย่างฉุนทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยได้ยาสูบมาจากเมืองมะนิลา ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ จากประเทศจีน และที่ปลูกในประเทศเอง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงค์ฤทธิ์ได้ทรงประดิษฐ์บุหรี่ก้นป้านขึ้น เพื่อสูบควันและอมยากับหมากพร้อมกัน ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการผลิตบุหรี่ขึ้นโดยบริษัทที่มีชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของได้เปิดดำเนินการเป็นบริษัทแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๐ การผลิตบุหรี่ในระยะแรกจะมวนด้วยมือ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการนำเครื่องจักรเข้ามาจากประเทศเยอรมนี และทำการผลิตบุหรี่ออกมาจำหน่ายหลายยี่ห้อ การสูบบุหรี่จึงแพร่หลายมากขึ้น จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลได้จัดตั้งโรงงานยาสูบขึ้น โดยซื้อกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนบูรพายาสูบ จำกัด (สะพานเหลือง) ถนนพระราม ๔ กรุงเทพฯ และดำเนินกิจการอุตสาหกรรมยาสูบภายใต้การควบคุมของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง หลังจากนั้น รัฐบาลได้ซื้อกิจการของบริษัทกวางฮก บริษัทฮอฟฟัน และบริษัทบริติชอเมริกันโทแบกโคเพิ่มขึ้น แล้วรวมกิจการทั้งหมดเข้าด้วยกัน และดำเนินการภายใต้ชื่อว่าโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง มาจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศไทยมีการใช้ยาสูบตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยมีหลักฐานจากจดหมายเหตุของ เมอร์ซิเออร์ เดอลาลูแบร์ (Monsieur De La Loub�re) อัครราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางมาเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนเล่าเรื่องประเทศสยามว่า คนไทยชอบใช้ยาสูบอย่างฉุนทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยได้ยาสูบมาจากเมืองมะนิลา ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ จากประเทศจีน และที่ปลูกในประเทศเอง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงค์ฤทธิ์ได้ทรงประดิษฐ์บุหรี่ก้นป้านขึ้น เพื่อสูบควันและอมยากับหมากพร้อมกัน ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการผลิตบุหรี่ขึ้นโดยบริษัทที่มีชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของได้เปิดดำเนินการเป็นบริษัทแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๐ การผลิตบุหรี่ในระยะแรกจะมวนด้วยมือ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการนำเครื่องจักรเข้ามาจากประเทศเยอรมนี และทำการผลิตบุหรี่ออกมาจำหน่ายหลายยี่ห้อ การสูบบุหรี่จึงแพร่หลายมากขึ้น จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลได้จัดตั้งโรงงานยาสูบขึ้น โดยซื้อกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนบูรพายาสูบ จำกัด (สะพานเหลือง) ถนนพระราม ๔ กรุงเทพฯ และดำเนินกิจการอุตสาหกรรมยาสูบภายใต้การควบคุมของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง หลังจากนั้น รัฐบาลได้ซื้อกิจการของบริษัทกวางฮก บริษัทฮอฟฟัน และบริษัทบริติชอเมริกันโทแบกโคเพิ่มขึ้น แล้วรวมกิจการทั้งหมดเข้าด้วยกัน และดำเนินการภายใต้ชื่อว่าโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง มาจนถึงปัจจุบัน
ชนิดของยาสูบ ยาสูบที่ใช้กันอยู่มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบสูด แบบดม แบบอมและเคี้ยว
- แบบสูด โดยกระทำให้เกิดการเผาไหม้ใบยาสูบซึ่งอยู่ในรูปของบุหรี่ หรือซิการ์ (cigar) ที่ใช้ใบยาสูบมวนผงใบยาสูบอยู่ภายใน หรือไปป์ (pipe) ที่บรรจุใบยาไว้ในกล้องยาสูบ แล้วจุดไฟให้เกิดการเผาไหม้ แล้วผู้สูบสูดควันเข้าสู่ร่างกาย
- แบบดม โดยบดใบยาสูบให้ละเอียด แล้วผสมในรูปของยานัตถุ์
- แบบอมและเคี้ยว โดยนำใบยาสูบแห้งมาหั่นเป็นฝอย นำมาเคี้ยวแล้วอมอยู่ระหว่างริมฝีปากกับเหงือก บางครั้งเรียกว่า บุหรี่ไร้ควัน
ยาสูบส่วนใหญ่มีการใช้สารเคมีเพื่อปรุงแต่งกลิ่นรส และเพื่อลดความระคายเคือง บุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานจะใช้สารเคมีปรุงแต่งมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีที่ใช้ในการรักษาความชื้นของใบยาสูบ และสารป้องกันเชื้อรา เพื่อให้เก็บบุหรี่ได้นาน รวมทั้งสารเคมีที่ใช้ในการรักษาสภาพกระดาษที่ใช้มวนบุหรี่อีกด้วย
- แบบสูด โดยกระทำให้เกิดการเผาไหม้ใบยาสูบซึ่งอยู่ในรูปของบุหรี่ หรือซิการ์ (cigar) ที่ใช้ใบยาสูบมวนผงใบยาสูบอยู่ภายใน หรือไปป์ (pipe) ที่บรรจุใบยาไว้ในกล้องยาสูบ แล้วจุดไฟให้เกิดการเผาไหม้ แล้วผู้สูบสูดควันเข้าสู่ร่างกาย
- แบบดม โดยบดใบยาสูบให้ละเอียด แล้วผสมในรูปของยานัตถุ์
- แบบอมและเคี้ยว โดยนำใบยาสูบแห้งมาหั่นเป็นฝอย นำมาเคี้ยวแล้วอมอยู่ระหว่างริมฝีปากกับเหงือก บางครั้งเรียกว่า บุหรี่ไร้ควัน
ยาสูบส่วนใหญ่มีการใช้สารเคมีเพื่อปรุงแต่งกลิ่นรส และเพื่อลดความระคายเคือง บุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานจะใช้สารเคมีปรุงแต่งมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีที่ใช้ในการรักษาความชื้นของใบยาสูบ และสารป้องกันเชื้อรา เพื่อให้เก็บบุหรี่ได้นาน รวมทั้งสารเคมีที่ใช้ในการรักษาสภาพกระดาษที่ใช้มวนบุหรี่อีกด้วย
สารเคมีในบุหรี่
ไส้บุหรี่นั้น ทำจากใบยาสูบตากแห้ง นำไปผ่านกระบวนการทางเคมี และมีการเพิ่มสารอื่น ๆ ควันบุหรี่ประกอบด้วยสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด ซึ่งในจำนวนนั้นมีสารเคมีจำนวนมากที่เป็นสารพิษ สารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (en:mutagenic) และสารก่อมะเร็ง (en:carcinogen)สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบได้แก่
|
|
|
ผลต่อสุขภาพ
การสูบบุหรี่และยาสูบอื่น ๆ เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันได้ การสูบบุหรี่เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งปอด (ประมาณ 80-90% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่) นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุของโรคปอดอื่น ๆ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (en:emphysema) หญิงมีครรภ์ที่สูบบุหรี่มีโอกาสแท้งลูกมากขึ้น และเด็กที่คลอดออกมาอาจมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ การสูบบุหรี่ยังเพิ่มโอกาสของอาการหัวใจวาย และโรคมะเร็งประเภทอื่น ๆ อีกด้วย ผู้สูบบุหรี่อาจดูแก่กว่าปกติเนื่องจากควันบุหรี่จะเพิ่มรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง เนื่องจากการสูบบุหรี่มีผลเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึม ดังนั้นอาจส่งผลให้ผู้สูบมีน้ำหนักลดลง [ต้องการแหล่งอ้างอิง]นิโคติน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นประสาท (en:stimulant) ในบุหรี่นั้น มีผลเป็นสารเสพติด (en:addictive) และลดการอยากอาหาร (en:appetite suppressant) ผู้ที่เลิกการสูบบุหรี่มักจะทดแทนอาการอยากบุหรี่ด้วยการกินขนม ซึ่งส่งผลให้หนึ่งในสามของผู้ที่เลิกสูบบุหรี่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นนิโคตินยังอาจเป็นสารพิษ หากเด็กหรือสัตว์รับประทานก้นบุหรี่โดยอุบัติเหตุ
โอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งปอดจากการสูบควันนั้นไม่แน่นอน ขึ้นกับลักษณะของการสูบ สารที่สูบ และความถี่ จากสถิติพบว่า คนที่สูบบุหรี่มีโอกาสจะเป็นโรคมะเร็งปอดประมาณ 11-17% หรือ 10-20 เท่าของคนที่ไม่สูบ การสูดสารพิษและสารก่อมะเร็งจากควันบุหรี่ เช่น เรดอนและเรเดียม-226เชื่อว่าเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็ง ไร่ยาสูบในสหรัฐอเมริกาจำนวนมากปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี เนื่องจากการใช้ปุ๋ยที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง
บทบาทของกระทรวงสาธารณสุขต่อบุหรี่
เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2548 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์ห้ามตั้งแสดงซองบุหรี่ตามร้านค้าปลีก โดยร้านค้าปลีกใดที่มีบุหรี่จำหน่าย ให้ติดกระดาษขนาด A4 เขียนข้อความไว้ว่า "ที่นี่มีบุหรี่ขาย" เพราะถือเป็นการโฆษณาสินค้าบุหรี่ ณ จุดขาย หากร้านค้าปลีกใดละเมิด จะมีความผิดมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535
กฎหมายคุ้มครอง
บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งต่อผู้สูบเอง และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่สูดหายใจเอาอากาศที่มีควันบุหรี่เข้าไป เพราะควันบุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งสิ้น เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ นิโคติน ทาร์ เป็นต้น จากการสำรวจพบว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งปอดนั้น ร้อยละ 90เป็นผลเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ และถ้าสูบเกินวันละ 1 ซอง จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 5-20 เท่า นอกจากนี้ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบร้อยละ 80 และโรคหัวใจร้อยละ 50 ก็มีผลมาจากการสูบบุหรี่เช่นเดียวกัน
ทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่
1.พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535
มีสาระสำคัญคือ การประกาศเขตปลอดบุหรี่ โดยแบ่งเขตปลอดบุหรี่ออกเป็น 4 กลุ่มคือ
- เขตปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง เช่น รถยนต์โดยสารประจำทางทั้งที่ปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ แท็กซี่ ตู้รถไฟปรับอากาศ ห้องชมมหรสพ
- เขตปลอดบุหรี่ทั้งหมดเช่น โรงเรียน ห้องสมุด ยกเว้น ห้องส่วนตัว
- เขตปลอดบุหรี่เกือบทั้งหมด เช่น สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ หากจะสูบก็ให้สูบเฉพาะเขตสูบบุหรี่
- เขตปลอดบุหรี่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นๆ เช่น ตู้รถไฟโดยสารทั่วไป(ไม่ปรับอากาศ) และร้านขายอาหารทั่วๆ ไป เฉพาะบริเวณที่มีระบบปรับอากาศ แต่ต้องจัดเขตสูบบุหรี่ไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด
มีสาระสำคัญคือ การประกาศเขตปลอดบุหรี่ โดยแบ่งเขตปลอดบุหรี่ออกเป็น 4 กลุ่มคือ
- เขตปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง เช่น รถยนต์โดยสารประจำทางทั้งที่ปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ แท็กซี่ ตู้รถไฟปรับอากาศ ห้องชมมหรสพ
- เขตปลอดบุหรี่ทั้งหมดเช่น โรงเรียน ห้องสมุด ยกเว้น ห้องส่วนตัว
- เขตปลอดบุหรี่เกือบทั้งหมด เช่น สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ หากจะสูบก็ให้สูบเฉพาะเขตสูบบุหรี่
- เขตปลอดบุหรี่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นๆ เช่น ตู้รถไฟโดยสารทั่วไป(ไม่ปรับอากาศ) และร้านขายอาหารทั่วๆ ไป เฉพาะบริเวณที่มีระบบปรับอากาศ แต่ต้องจัดเขตสูบบุหรี่ไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด
2.พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
มีสาระสำคัญคือการห้ามขายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท ห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือ ขายบุหรี่แล้วแถมสินค้าอื่นๆ และห้ามการโฆษณาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
การรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ มิใช่จะกระทำแค่วันเดียว แต่ต้องทำอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพและอนามัยที่ดีแก่ตนเองและผู้ใกล้ชิด
มีสาระสำคัญคือการห้ามขายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท ห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือ ขายบุหรี่แล้วแถมสินค้าอื่นๆ และห้ามการโฆษณาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
การรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ มิใช่จะกระทำแค่วันเดียว แต่ต้องทำอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพและอนามัยที่ดีแก่ตนเองและผู้ใกล้ชิด
แนะนำการเลิกสูบบุหรี่
1. วิเคราะห์นิสัยการสูบบุหรี่ของตัวท่านว่าเป็นอย่างไร ลองจดในกระดาษดูซิว่าใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ท่านสูบบุหรี่ตอนไหนบ้าง หลังอาหารทุกมื้อ ทุกครั้งที่ดื่มกาแฟ ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ทุกครั้งที่เข้าห้องประชุม หรือหยุดการประชุม ท่านทดลอง จดรายละเอียดลงใน กระดาษ ในช่วงเวลาสัก 2-3 สัปดาห์ โดยจดทุกวันของ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และพยายามเขียนคำอธิบายด้วยว่าทำไมท่านจึงต้องสูบบุหรี่ในช่วงนั้น ๆ หรือว่าสูบบุหรี่เพราะอะไร
2. ท่านต้องตัดสนใจให้แน่วแน่ที่จะต้องเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ ไม่มีการหันหลังกลับมาสูบบุหรี่อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน ท่านลองเขียน ในกระดาษถึงเหตุผลว่าทำไมท่านต้องการที่จะเลิกสูบบุหรี่ ผลประโยชน์ที่ตัวท่านจะได้รับว่ามีอะไรบ้าง เช่น อาการไอ มีเสมหะดำ ๆ ตอนเช้าจะหายไป อาหารจะมีรสชาติที่ดีขึ้น โอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งของทุก ๆ อวัยวะก็ลดน้อยลง โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจก็จะ ลดน้อยลง แล้วท่านลองประเมิน และให้ความมั่นใจกับตัวเองเสียว่า แรงกาย และแรงใจที่จะทุ่มเทลงไปเพื่อเลิกสูบบุหรี่จะมีความคุ้มค่า หรือไม่ คนรอบข้างของท่านโดยเฉพาะครอบครัวของท่านจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ก่อนที่ท่านจะเริ่มโครงการเลิกสูบบุหรี่
3. กำหนดหรือเลือกวันที่จะเริ่มหยุดสูบบุหรี่ และถ้าหากมีญาติหรือเพื่อนสนิท และคนใกล้ชิดจะหยุดสูบบุหรี่พร้อมกันได้ก็จะดีมากทีเดียว จะได้ช่วยให้กำลังใจซึ่งกัน และกันในวันที่รู้สึกว่าหงุดหงิด หรือมีความยากลำบากที่จะเลิกสูบบุหรี่ต่อไป ผู้ที่เลิกบุหรี่ได้บางคน อาจเลือกวันใดวันหนึ่ง ที่มีความหมายต่อตนเอง หรือต่อผู้อื่น เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ เป็นต้น เพื่อที่ผู้ที่เลิกบุหรี่ได้จะได้จดจำ และนำไปคุยต่อได้ว่าเลิกได้ตั้งแต่วันนั้น วันนี้ เป็นต้นมา
4. ในขั้นนี้จะเข้าสูการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง อาการอยากบุหรี่จะมีมากน้อย แล้วแต่ว่าท่านสูบบุหรี่ก่อนหน้าที่จะเลิก สูบวันละกี่มวน และติดมานานเพียงใด อาการอยากบุหรี่หรือที่บางคนเรียกว่า “เสี้ยน” จะมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของร่างาย ชีพจน และระบบย่อยอาหาร ในทางจิตใจจะเกิดหงุดหงิด กระวนกระวาย มึนศีรษะ เหม่อลอย นอนไม่หลับ อยากบุหรี่ ส่วนใหญ่อาการหงุดหงิด จะมีอาการมากใน 3 วันแรก และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ น้อยมากที่จะมีอาการเกิดหนึ่งสัปดาห์
สำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องหงุดหงิด ขอให้ท่านตั้งสติให้มั่นคง ท่านจะต้องเอาชนิดปัญหานี้ให้ได้ อย่าอยู่เฉย ๆ คนเดียว หากิจกรรมมาทำ เช่น การเดินออกกำลังกาย ถ้าหงุดหงิดมากให้ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ หรือให้อาบน้ำให้งดเว้นการดื่มกาแฟ หรืองดดื่มเหล้า ไม่ออกไปเที่ยวบาร์ ผับ หรือ ดิสโก้เธค เวลาไปร้านอาหารควรไปนั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับคนไม่สูบบุหรี่
5. หากท่านผ่านพ้นขั้นตอนที่ 4 มาแล้ว ขอให้ท่านมั่นใจเถิดว่าท่านจะทำได้สำเร็จ ท่านมีความพึงพอใจต่อสภาพการณ์ของตัวท่าน ที่ไม่สูบบุหรี่ ในขณะนี้หรือไม่ ท่านลองประเมินดูซิว่าท่านสามารถประหยัดเงินค่าบุหรี่ลงไปมากเท่าใด หากเอาเงินส่วนนั้นมาซื้อของ ท่านจะซื้ออะไรได้บ้าง ขอให้เดินหน้าต่อไปที่จะเลิกสูบบุหรี่ ท่านเกือบจะเข้าเส้นชัยอยู่แล้ว
6. ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดสำหรับคนติดบุหรี่ ให้ท่านดื่มน้ำมาก ๆ ท่านอาจอยากทานอาหารเพิ่มขึ้น ขอให้ท่านได้เตรียมอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำเอาไว้ อาจเป็นพวกผัก หรือผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด
สิ่งที่ต้องย้ำเตือนก็คือ ยาที่ใช้ระงับความอยากบุหรี่นั้น มีความสำคัญน้อยกว่าความตั้งใจแน่วแน่ ของท่านที่จะเลิกบุหรี่ให้ได้
ตารางจำแนกตามพฤติกรรมการสูบบุหรี่ กลุ่มอายุ รวมทั้งชาย-หญิง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.2550
จากตารางข้างบนจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ตั้งแต่อายุ 11 ปี ไปจนถึง 60 ปี ขึ้นไป เห็นได้ว่าในช่วงอายุ 60 ปี มีการสูบบุหรี่มากที่สุด เนื่องจากอาจจะเป็นเพราะ ในช่วงที่เป็นหนุ่ม อาจจะสูบเป็นประจำทำให้เกิดการติดบุหรี่และเลิกไม่ได้ทำให้พอมีอายุ 60 ปี ขึ้นไปทำให้เลิกไม่ได้และลองลงมา คือ ในช่วงอายุ 30-39 ปี มีจำนวนประชากรที่สูบบุหรี่ที่ใกล้เคียงกับช่วง อายุ 60 ปี ขึ้นไป และอายุที่มีการสูบบุหรี่น้อยที่สุด คือ ในช่วงอายุที่ 11-19 ปี เพราะอาจจะยังมีอายุน้อยและ ยังเรียนอยู่ในระดับมัธยม และยังอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง ทำให้มีอัตราการสบบุหรี่น้อยต่างจาก ช่วงอายุอื่นๆ และรองลงมาคือ ช่วงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มีการสูบบุหรี่น้อย จากตารางจะให้ได้ว่าจำนวนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการไม่สูบบุหรี่มากกว่าการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นผลดีต่อ สุขภาพของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตารางจำแนกตามพฤติกรรมการสูบบุหรี่ กลุ่มเพศชาย-หญิง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.2550
จากตารางข้างบน จะเห็นได้ว่า เพศชายมีจำนวนผู้ไม่สูบและไม่เคยสูบอยู่ที่ 3,854,762 คน ไม่สูบแต่เคยสูบ 1,203,884 คน สูบ 3,900,919 คน เพศหญิง จำนวนผู้ไม่สูบและไม่เคยสูบอยู่ที่ 9,105,272 คน ไม่สูบแต่เคยสูบ 26,096 คน สูบ 56,968 คน จะเห็นได้ว่าจำนวนมันต่างกันมาก เลยสรุปได้ดังนี้ เพศชายเป็นเพศที่รู้ๆ กันอยู่ว่าดื่มเหล้าสูบบุหรี่มากกว่าเพศหญิงอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่เพศชายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการสูบบุหรี่มากกว่าเพศหญิง ครึ่งต่อครึ่ง ของจำนวนประชากรเลยทีเดียว ดังนั้นเพศชายที่ เคยสูบ และ สูบ มีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนเพศหญิงส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่
ตารางจำแนกตามพฤติกรรมการสูบบุหรี่ รวม กลุ่มอายุ(ปี) ทั้งชาย-หญิง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.2550
จากตารางข้างบนเป็นภาพรวมของกราฟทั้งสองที่ผ่านมา เลยสรุปได้ว่า จากประชากรทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในแท่งของอายุจะเห็นได้ว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่เลยมะจำนวนมากกว่าคนที่สูบบุหรี่อยู่เป็นจำนวนมากเกินกว่าครึ่งเลยทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ ส่วนผู้ชายมีจำนวนครึ่งหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่และเพศที่มีการสูบบุหรี่มากก็ คือ เพศชาย ซึ่งมีการสูบบุหรี่เป็นจำนวนครึ่งต่อครึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมด และจะโยงไปถึงการดื่มสุรา เสพสิ่งเสพติด อีกด้วยเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เมื่อดื่มสุราแล้วจะทำให้การอยากสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดการติดบุหรี่ในเพศชายมากขึ้น ส่วนเพศหญิงมีการสูบที่น้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 0.62 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น